ประวัติ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

พรีเมียร์ลีก (อังกฤษPremier League) เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) ภายใต้การบริหารของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ การแข่งขันพรีเมียร์ลีกเป็นที่รวมของ 20 สโมสรฟุตบอลในระดับสูงสุดของอังกฤษเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นลีกที่มีการแข่งขันขับเคี่ยวสูสีมากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป แล้วเป็นลีกที่ได้รับความนิยมอันดับ1จากแฟนบอลทั่วโลก แทงบอลออนไลน์
โดยปัจจุบันมีเพียง 6 ทีมเท่านั้น ที่ชนะเลิศ ในการแข่งขันรายการนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 13 สมัย, เชลซี 5 สมัย, แมนเชสเตอร์ซิตี 4 สมัย, อาร์เซนอล 3 สมัย, แบล็กเบิร์นโรเวอส์ และ เลสเตอร์ซิตี ทีมละ 1 สมัย

ประวัติ[แก้]

เดิมฟุตบอลลีกแห่งนี้ ใช้ชื่อว่า ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง ซึ่งมีจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) และถือว่าเคยเป็นลีกฟุตบอลที่ยาวนานที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2535 ในฤดูกาล 1992-93 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากรูเพิร์ธ เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) นักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สกาย (BSkyB) พยายามผลักดันให้สโมสรฟุตบอลที่จะลงแข่งขันในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ถอนตัวออกมาจัดตั้งเป็นพรีเมียร์ลีกทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษที่มีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง ขณะเดียวกันทางฟุตบอลลีกเดิมได้เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชันสอง มาเป็น ดิวิชันหนึ่ง และดิวิชันอื่นได้เปลี่ยนตามกันไป
ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลอาชีพของอังกฤษตกต่ำอย่างมาก เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ เช่น เหตุการณ์เพลิงไหม้อัฒจันทร์วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ที่สนามฟุตบอลของแบรดฟอร์ดซิตีในระหว่างการแข่งขัน มีผู้เสียชีวิต 56 คน เหตุการณ์ภัยพิบัติฮิลส์โบโรวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2532 ที่สนามฮิลส์โบโรของเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ มีผู้คนเหยียบกันเสียชีวิต 96 คน นอกจากนี้ ภัยพิบัติเฮย์เซลซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศระหว่างลิเวอร์พูลและยูเวนตุสที่มีผู้เสียชีวิต 39 คน ทำให้ยูฟ่าสั่งห้ามไม่ให้สโมสรจากอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยสโมสรในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้กลุ่มฮูลิแกนหรืออันธพาลลูกหนังที่ตามไปเชียร์ทีมที่ชื่นชอบก็ก่อพฤติกรรมเกะกะระรานหลังจบการแข่งขัน เข้าผับดื่มกินจนเมามาย บ้างก็วิวาทกับแฟนฟุตบอลเจ้าถิ่นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายบางครั้งรุนแรงถึงขั้นจลาจลหรือไม่ก็มีคนเสียชีวิต โดยสาเหตุส่วนหนึ่งของภัยพิบัติเฮย์เซลก็มาจากคนกลุ่มนี้เช่นกัน ซึ่งทำให้แฟนฟุตบอลไม่สามารถชมการแข่งขันได้อย่างสงบสุข เนื่องด้วยกลัวจะถูกลูกหลง ประกอบกับสภาพสนามที่ย่ำแย่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการป้องกันเหตุฉุกเฉินอย่างดีพอ ทำให้ชาวอังกฤษหลายคนตัดสินใจรับชมการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ที่บ้าน แทนที่จะเดินทางมาเชียร์ในสนามดังเช่นอดีต ช่วงทศวรรษ 1980 รายได้ของสโมสรจากค่าผ่านประตูซึ่งเป็นรายได้หลักได้ลดลงอย่างมาก มีเพียงสโมสรชั้นนำไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีกำไร ในฤดูกาล 1986-87 ทุกสโมสรฟุตบอลมีกำไรสุทธิรวมเพียง 2.5 ล้านปอนด์ พอถึงฤดูกาล 1989-90 รวมทุกสโมสรขาดทุน 11 ล้านปอนด์ ทำให้นายทุนไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจกีฬาอาชีพนี้อย่างเต็มที่ หลายสโมสรในช่วงนั้นมีข่าวว่าใกล้จะล้มละลาย
ภายหลังเหตุการณ์ที่สนามฮิลส์โบโร รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมีลอร์ดปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาระดับรองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ โดยผลการไต่สวนซึ่งเรียกว่ารายงานฉบับเทย์เลอร์ (Taylor Report) ได้กลายมาเป็นเอกสารสำคัญนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงสนามแข่งขัน ที่สำคัญคืออัฒจันทร์ชมการแข่งขันต้องเป็นแบบนั่งทั้งหมด ห้ามมีอัฒจันทร์ยืนเพื่อความปลอดภัยของผู้ชมการแข่งขัน โดยทีมในระดับดิวิชัน 1 และ 2 ต้องปรับปรุงให้เสร็จในปี 2537 และ ดิวิชัน 3 และ 4 ให้เสร็จในปี 2542 ส่งผลให้การยืนชมฟุตบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมการชมฟุตบอลของคนอังกฤษมานานต้องจบลง รวมทั้งบางแห่งที่มีชื่อเสียงอย่างเช่นอัฒจันทร์เดอะค็อปของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถึงแม้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีสโมสรฟุตบอลทั้งอาชีพและสมัครเล่นมากที่สุดในโลก แต่สนามฟุตบอลส่วนใหญ่มีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม บางสโมสรในระดับดิวิชันหนึ่งหรือดิวิชันสองยังคงมีอัฒจันทร์ที่สร้างด้วยไม้ ทำให้การปรับปรุงสนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลอังกฤษครั้งนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ท่ามกลางสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงเพราะรายได้ลดลงอย่างมาก สโมสรเล็กบางแห่งซึ่งมีผู้ชมน้อยอยู่แล้วจึงใช้วิธีปิดตายอัฒจันทร์ยืน ส่วนสโมสรใหญ่ที่ฐานะการเงินดีกว่าก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะไม่อาจใช้วิธีเลี่ยงปัญหาแบบสโมสรเล็กได้ รัฐบาลอังกฤษในขณะนั้นต้องเข้าช่วยเหลือโดยลดค่าธรรมเนียมหรือภาษีธุรกิจพนันฟุตบอล นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนฟุตบอลจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้ฟุตบอลลีกเป็นคนจัดสรรให้สโมสรฟุตบอลซึ่งเป็นภาคีสมาชิกทั้ง 96 สโมสร นำไปพัฒนาปรับปรุงสนามแข่งขันของตนเอง แต่งบประมาณเท่านี้ต้องนับว่าน้อยมาก หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่ากันแล้วจะได้รับเงินเพียงสโมสรละ 1.08 ล้านปอนด์เท่านั้น ขณะที่สโมสรฟุตบอลชั้นแนวหน้าของลีกต้องใช้เงินในการณ์นี้สูงถึงกว่าสิบล้านปอนด์ สโมสรใหญ่ในดิวิชันหนึ่งจึงกดดันฟุตบอลลีกจัดสรรเงินให้มากกว่าสโมสรเล็ก เพราะหากไม่เสร็จทันตามกำหนดอาจจะถูกถอนใบอนุญาตได้

กิจการถ่ายทอดทางโทรทัศน์[แก้]

ในช่วงเวลาที่สโมสรใหญ่ต้องการเงินทุนมหาศาลนี้ เป็นโอกาสให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์สกาย ยื่นข้อเสนอให้สโมสรในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992−93 ให้ถอนตัวจากสมาชิกฟุตบอลลีกเพื่อมาจัดตั้งเอฟเอพรีเมียร์ลีก โดยทางสถานีขอซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันในราคาแพง ทำสัญญาฉบับแรกซื้อสิทธิผูกขาดในการถ่ายทอดการแข่งขันเป็นเวลา 5 ปี (ฤดูกาล 1992−93 ถึง 1996−97) จ่ายค่าตอบแทนให้ 304 ล้านปอนด์ เทียบกับในอดีตที่ฟุตบอลลีกได้รายได้จากการขายสิทธิให้สถานีไอทีวีของอังกฤษ เพียง 44 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลา 4 ปี เงื่อนไขตอบแทนทางธุรกิจเช่นนี้ ดึงดูดให้สโมสรทั้งหลายสนใจเป็นอย่างยิ่ง จนผู้บริหารสโมสรบางคน เช่น นายแอลัน ชูการ์ เจ้าของสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ แสดงตนเป็นแกนนำในการล็อบบี้ให้สโมสรอื่น ๆ ในดิวิชันหนึ่งที่จะเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 1992−93 เห็นชอบกับการก่อตั้งลีกแห่งนี้
สำหรับลิขสิทธิ์การเผยแพร่ในประเทศไทย ในช่วงฤดูกาล 2013−14, 2014−15 และ 2015−16 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หน่วยงานกลางของกลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลระดับท้องถิ่น โดยต่อเนื่องมาจากบริษัท ทรูวิชันส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านสายเคเบิลทั่วประเทศ ในเครือบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007−08 จนถึง 2012−13 โดยต่อมาในปี 2016/2017 จนถึง 2018/2019 ช่องบีอินสปอตส์ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดดังกล่าว

การจัดตั้ง[แก้]

17 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 มีการลงนามข้อตกลงภาคีสมาชิกก่อตั้ง (Founder Members Agreement) เพื่อวางหลักการสำคัญในการจัดตั้งพรีเมียร์ลีก ได้แก่ ระบบลีกสูงสุดใหม่นี้จะดำเนินการทางธุรกิจด้วยตนเอง ทำให้พรีเมียร์ลีกมีอิสระที่จะเจรจาผลประโยชน์กับผู้สนับสนุน รวมทั้งสิทธิในการขายสิทธิถ่ายทอดโทรทัศน์ของตนเอง แยกขาดจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลลีก จากนั้นในปี พ.ศ. 2535 ทั้ง 20 สโมสรได้ยื่นขอถอนตัวจากฟุตบอลลีกอย่างเป็นทางการ
ต่อมา 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เอฟเอพรีเมียร์ลีกจึงก่อตั้งโดยจดทะเบียนในรูปบริษัทจำกัด มีสโมสรฟุตบอลสมาชิกทั้ง 20 แห่งเป็นหุ้นส่วน ความเป็นหุ้นส่วนจึงขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันทางสโมสร หากทีมใดยังคงอยู่ในพรีเมียร์ลีกก็จะถือเป็นหุ้นส่วนของพรีเมียร์ลีกต่อไป ในช่วงปิดฤดูกาลสโมสรที่ตกชั้นจะต้องมอบสิทธิความเป็นหุ้นส่วนให้กับสโมสรที่เลื่อนชั้นมาจากดิวิชั่น 2 ที่เปลี่ยนชื่อเป็นดิวิชั่น 1 (ลีกแชมเปียนชิปในปัจจุบัน) โดยมีสมาคมฟุตบอลอังกฤษถือสิทธิเป็นหุ้นส่วนหลัก มีอำนาจที่จะคัดค้านในประเด็นสำคัญ เช่น การแต่งตั้งประธานกรรมการและผู้บริหารระดับสูง หลักการเลื่อนชั้นหรือตกชั้นของสโมสรเท่านั้น แต่ไม่อาจล่วงไปถึงกิจการเฉพาะของพรีเมียร์ลีก ซึ่งได้แก่เงื่อนไขและผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่าง ๆ
ด้วยค่าตอบแทนจากการถ่ายทอดโทรทัศน์และประโยชน์ที่ได้รับจากผู้สนับสนุนการแข่งขัน ทำให้พรีเมียร์ลีกพัฒนาเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

การซื้อตัวผู้เล่นต่างชาติ[แก้]

จารีตอันยาวนานของสโมสรฟุตบอลอังกฤษในเรื่องนักฟุตบอลของทีมคือ แต่ละสโมสรจะส่งตัวแทนค้นหาเยาวชนที่มีความสามารถทางการเล่นฟุตบอลเพื่อนำมาฝึกหัดพัฒนาทักษะ โดยให้ลงเล่นตั้งแต่ในทีมระดับเยาวชน สมัครเล่น หรือทีมสำรอง ผู้ที่มีความโดดเด่นจะได้รับคัดเลือกให้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ซึ่งลงแข่งในฟุตบอลลีก หากจะมีการซื้อตัวผู้เล่น ก็มักจะมาจากสโมสรในดิวิชันหนึ่ง (เดิม) ซื้อตัวผู้เล่น ดาวรุ่ง จากดิวิชันที่ต่ำกว่าหรือจากสโมสรสมัครเล่นนอกลีก มีน้อยมากที่ซื้อนักฟุตบอลต่างชาติ (ไม่นับรวม สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์) ต่างจากสโมสรฟุตบอลอาชีพทางยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสโมสรฟุตบอลในอิตาลีและสเปน ซึ่งมักจะได้รับฉายาว่า เจ้าบุญทุ่ม บ่อยครั้งที่สโมสรฟุตบอลจากสองประเทศนี้จ่ายเงินมหาศาล จนถึงขั้นสร้างสถิติโลกในการซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติเพียงหนึ่งคน
แต่เมื่อพรีเมียร์ลีกก่อกำเนิด ธรรมเนียมการกว้านซื้อตัวนักฟุตบอลต่างชาติของสโมสรฟุตบอลอังกฤษจึงเริ่มมีมากขึ้น จารีตการสร้างนักฟุตบอลของตัวเองแม้จะยังคงอยู่แต่ก็ลดความสำคัญลงไปทุกขณะ เพราะต้องใช้เวลายาวนานอาจไม่ทันการณ์ สู้ใช้เงินซื้อนักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกมาร่วมสังกัดไม่ได้ ที่สามารถดึงดูดแฟนฟุตบอลให้ซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันมากขึ้นในเวลาอันสั้น ลีลาการเล่นที่ตื่นเต้นเร้าใจย่อมขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกต่างมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงกว่าเดิม จึงพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
รูปโฉมใหม่ของฟุตบอลอาชีพอังกฤษเปิดฉากขึ้น ในฤดูกาล 1994-95 เมื่อท็อตนัมฮอตสเปอร์ซี่ซื้อตัวเยือร์เกิน คลินส์มันน์ นักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันจากโมนาโกในลีกฝรั่งเศส ทักษะและลีลาการเล่นฟุตบอลของคลินส์มันน์สร้างความตื่นตาตื่นใจต่อผู้ชม ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของกองเชียร์ในเวลาไม่นาน สร้างความพึงพอใจต่อสโมสรต้นสังกัดเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จของทอตนัมฮอตสเปอร์กระตุ้นให้สโมสรอื่น กล้าลงทุนซื้อตัวนักฟุตบอลระดับโลกมากขึ้น เพราะรายรับที่ได้กลับคืนมาคุ้มค่ากับการลงทุน
ในฤดูกาลถัดมานักฟุตบอลต่างชาติได้มาเล่นในฟุตบอลอังกฤษมากขึ้น ในฤดูกาล 1995-96 มิดเดิลสโบรห์ซื้อจูนินโญ่และเอเมอร์สัน (บราซิลนิวคาสเซิลยูไนเต็ดซื้อฟาอุสติโน อัสปริญา (โคลอมเบียอาร์เซนอลซื้อแด็นนิส แบร์คกัมป์ (ฮอลแลนด์) เชลซีซื้อรืด คึลลิต (ฮอลแลนด์) เป็นต้น ฤดูกาล 1996-97 มิดเดิลสโบรห์ซื้อฟาบรีซีโอ ราวาเนลลี (อิตาลี) เชลซีซื้อจันลูกา วีอัลลี และจันฟรังโก โซลา (อิตาลี) สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลซื้อแพทริก แบเกอร์ (สาธารณรัฐเช็ก) และอาร์เซนอลซื้อปาทริค วิเอร่า (ฝรั่งเศส) เป็นต้น โดยในฤดูกาล 1999-2000 เชลซีได้ส่งผู้เล่น 11 ตัวจริงลงเล่นโดยที่ไม่มีผู้เล่นของอังกฤษหรือประเทศในสหราชอาณาจักรปนอยู่เลยเป็นทีมแรก[1]
นอกจากนักฟุตบอลแล้ว ผู้จัดการทีมต่างชาติก็เข้ามามีบทบาทในพรีเมียร์ลีกจวบจนปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาร์แซน แวงแกร์รืด คึลลิตเฌราร์ อูลีเยราฟาเอล เบนีเตซโชเซ มูรีนโย ฯลฯ แม้แต่สโมสรฟุตบอลที่มีลักษณะอนุรักษนิยมสูง ดังเช่น ลิเวอร์พูล ที่ปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ช้ากว่าคู่แข่งหลายทีม จนทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก (ต่างจากยุคฟุตบอลลีก) และยังต้องปรับตัวต่อกระแสการซื้อตัวนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมต่างชาติ เพื่อหวังจะครองแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกให้ได้
อาจกล่าวได้ว่าในขณะนี้ พรีเมียร์ลีกเป็นลีกฟุตบอลภายในประเทศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ดึงดูดนักฟุตบอลชั้นดีให้มาประกอบวิชาชีพไม่ต่างจากเซเรียอาของประเทศอิตาลี หรือลาลิกาของประเทศสเปน ตัวชี้วัดคุณภาพที่ดีที่สุดคือนักฟุตบอลที่เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ มีจำนวน 101 คนที่เล่นฟุตบอลในอังกฤษ และปัจจุบันมีนักฟุตบอลต่างชาติในพรีเมียร์ลีกมากกว่า 290 คน[2][3][4][5]

รูปแบบการแข่งขัน[แก้]

การแข่งขัน[แก้]

มีสโมสรร่วมกันแข่งขันในพรีเมียร์ลีก 20 ทีม ในช่วงระหว่างฤดูกาล (ตั้งแต่สิงหาคมถึงพฤษภาคม) โดยแต่ละทีมจะพบกันหมด เหย้าและเยือน ทีมชนะได้ 3 คะแนน ทีมเสมอได้ 1 คะแนน และทีมแพ้ไม่ได้คะแนน ตลอดฤดูกาลทุกทีมจะต้องแข่งขันทั้งสิ้น 38 นัด ทีมจะถูกจัดอันดับโดยเรียงจาก คะแนน, ผลประตูได้เสียและผลประตูรวม หากยังคงเท่ากันทีมจะถือว่าครองตำแหน่งเดียวกัน หากมีการเสมอกันในการตกชั้นสู่การแข่งขันลีกแชมเปียนชิป หรือ การคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น ๆ จำเป็นต้องมีการแข่งขันเพลย์ออฟที่สนามกลางเพื่อตัดสินอันดับ[6]

การเลื่อนชั้นและการตกชั้น[แก้]

มีระบบการเลื่อนชั้นและการตกชั้น ระหว่าง พรีเมียร์ลีก และ อีเอฟแอลแชมเปียนชิป โดยสามทีมที่ได้อันดับต่ำสุดในพรีเมียร์ลีก จะต้องตกชั้นไปเล่นใน แชมเปียนชิป และ ทีมที่อันดับสูงที่สุดสองทีมในแชมเปียนชิปจะเลื่อนชั้นไป พรีเมียร์ลีก[7] พร้อมกับอีกหนึ่งทีมที่มาจากการชนะเลิศในการแข่งขันเพลย์-ออฟระหว่างอันดับที่ 3, 4, 5 และ 6[8] แต่เดิมพรีเมียร์ลีกมี 22 ทีมตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 แต่ลดลงเหลือ 20 ทีม เมื่อปี ค.ศ. 1995[9]

การคัดเลือกไปยังการแข่งขันอื่น[แก้]

4 ทีมที่อันดับดีสุดจะได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยสี่ทีมอันดับแรกจะผ่านเข้าไปรอในรอบแบ่งกลุ่ม (ทีมชนะเลิศได้อยู่โถ 1) ส่วนอันดับ 5 จะได้เล่นยูฟ่ายูโรปาลีก (ยูฟ่า คัพ เดิม) และทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศก็จะได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีก โดยอัตโนมัติเช่นกัน ในกรณีที่ทีมอันดับ 1-4 ชนะการแข่งขันฟุตบอลถ้วยภายในประเทศ สิทธิ์การแข่งยูฟ่ายูโรปาลีก จะได้แก่อันดับ 6 และ 7 ของพรีเมียร์ลีกแทน
ทีมพรีเมียร์ลีกที่ได้สิทธิไปแข่งฟุตบอลยุโรป มีเงื่อนไขดังนี้[10]
  • แชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
  • รองแชมป์พรีเมียร์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 3 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1
  • แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 4 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • แชมป์เอฟเอคัพ : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม
  • อันดับที่ 5 : ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบแบ่งกลุ่ม

ผู้สนับสนุนหลัก[แก้]

รายชื่อผู้สนับสนุนหลักในรายการแข่งขันฤดูกาลต่างๆ

สโมสร[แก้]

มีสโมสรจำนวน 49 สโมสรที่เคยเล่นในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ลีกก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1992 จนถึงฤดูกาลปัจจุบัน[11]

ฤดูกาล 2018–19[แก้]

สโมสรต่อไปนี้จำนวน 20 สโมสรจะแข่งขันกันในฤดูกาล 2018–19
สโมรอันดับใน
2017–18
ฤดูกาลแรกใน
ดิวิชันสูงสุด
ฤดูกาลแรกใน
พรีเมียร์ลีก
จำนวนฤดูกาล
ที่อยู่ใน
ดิวิชันสูงสุด
จำนวนฤดูกาล
ที่อยู่ใน
พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาลแรกที่อยู่บน
ดิวิชันสูงสุดแล้ว
ยังอยู่ถึงปัจจุบัน
จำนวนครั้ง
ที่ชนะเลิศใน
ดิวิชันสูงสุด
ชนะเลิศ
ครั้งสุดท้ายใน
ดิวิชันสูงสุด
อาร์เซนอลa, b6th1904–051992–93102271919–20132003–04
บอร์นมัทb12th2015–162015–16442015–160n/a
ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียนb15th1979–802017–18622017–180n/a
เบิร์นลีย์c7th1888–892009–105652016–1721959–60
คาร์ดิฟฟ์ซิตีd2nd ใน แชมเปียนชิป1921–222013–141722018–190n/a
เชลซีa, b5th1907–081992–9384271989–9062016–17
คริสตัลพาเลซa11th1969–701992–9319102013–140n/a
เอฟเวอร์ตันa, b, c8th1888–891992–93116271954–5591986–87
ฟูลัม3rd ใน แชมเปียนชิป1949–502001–0226142018–190n/a
ฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์b16th1920–212017–183322017–1831925–26
เลสเตอร์ซิตี9th1908–091994–9550132014–1512015–16
ลิเวอร์พูลa, b4th1894–951992–93104271962–63181989–90
แมนเชสเตอร์ซิตีa1st1899–19001992–9390222002–0352017–18
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดa, b2nd1892–931992–9394271975–76202012–13
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด10th1898–991993–9487242017–1841926–27
เซาแทมป์ตันa17th1966–671992–9342202012–130n/a
ทอตนัมฮอตสเปอร์a, b3rd1909–101992–9384271978–7921960–61
วอตฟอร์ต14th1982–831999–20001262015–160n/a
เวสต์แฮมยูไนเต็ด13th1923–241993–9461232012–130n/a
วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์c1st ใน แชมเปียนชิป1888–892003–046452018–1931958–59
a: สโมสรก่อตั้งพรีเมียร์ลีก
b: ไม่เคยตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก
c: หนึ่งใน 12 ทีมดั้งเดิมในฟุตบอลลีก
d: สโมสรจากเวลส์

แผนที่[แก้]

สโมสรอื่น[แก้]

สโมสรต่อไปนี้ไม่ได้แข่งขันใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 แต่เคยแข่งขันในพรีเมียร์ลีกอย่างน้อยหนึ่งฤดูกาล
สโมสรลีกปัจจุบันอันดับใน
ฤดูกาล 2017–18
ฤดูกาลแรกใน
ดิวิชันสูงสุด
ฤดูกาลแรกใน
พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาลล่าสุด
ที่เล่นใน
พรีเมียร์ลีก
จำนวนฤดูกาล
ที่อยู่ใน
ดิวิชันสูงสุด
จำนวนฤดูกาล
ที่อยู่ใน
พรีเมียร์ลีก
จำนวนครั้ง
ที่ชนะเลิศใน
ดิวิชันสูงสุด
ชนะเลิศ
ครั้งสุดท้ายใน
ดิวิชันสูงสุด
แอสตันวิลลาa, bแชมเปียนชิป4th1888–891992–932015–161042471980–81
บาร์นสลีย์ลีกวัน22nd ใน แชมเปียนชิป1997–981997–981997–98110n/a
เบอร์มิงแฮมซิตีแชมเปียนชิป19th1894–952002–032010–115770n/a
แบล็กเบิร์นโรเวอส์a, bแชมเปียนชิป2nd ใน ลีกวัน1888–891992–932011–12721831994–95
แบล็กพูลลีกวัน12th1930–312010–112010–112810n/a
โบลตันวอนเดอเรอส์bแชมเปียนชิป21st1888–891995–962011–1261130n/a
แบรดฟอร์ดซิตีลีกวัน11th1908–091999–20002000–011220n/a
ชาร์ลตันแอทเลติกลีกวัน6th1936–371998–992006–072780n/a
คอเวนทรีซิตีaลีกวัน6th ใน ลีกทู1967–681992–932000–013490n/a
ดาร์บีเคาน์ตีbแชมเปียนชิป6th1888–891996–972007–0865721974–75
ฮัลล์ซิตีแชมเปียนชิป18th2008–092008–092016–17550n/a
อิปสวิชทาวน์aแชมเปียนชิป12th1961–621992–932001–0226511961–62
ลีดส์ยูไนเต็ดaแชมเปียนชิป13th1924–251992–932003–04501231991–92
มิดเดิลส์เบรอaแชมเปียนชิป5th1902–031992–932016–1762150n/a
นอริชซิตีaแชมเปียนชิป14th1972–731992–932015–162680n/a
นอตทิงแฮมฟอเรสต์aแชมเปียนชิป17th1892–931992–931998–9956511977–78
โอลดัมแอทเลติกaลีกทู21st ใน ลีกวัน1910–111992–931993–941220n/a
พอร์ตสมัทลีกวัน8th1927–282003–042009–1033721949–50
ควีนส์พาร์กเรนเจอส์aแชมเปียนชิป16th1968–691992–932014–152370n/a
เรดิงแชมเปียนชิป20th2006–072006–072012–13330n/a
เชฟฟีลด์ยูไนเต็ดaแชมเปียนชิป10th1893–941992–932006–0761331897–98
เชฟฟีลด์เวนส์เดย์aแชมเปียนชิป15th1892–931992–931999–200066841929–30
สโตกซิตีbแชมเปียนชิป19th ใน พรีเมียร์ลีก1888–892008–092017–1863100n/a
ซันเดอร์แลนด์ลีกวัน24th ใน แชมเปียนชิป1890–911995–962016–17871361935–36
สวอนซีซิตีcแชมเปียนชิป18th ใน พรีเมียร์ลีก1981–822011–122017–18970n/a
สวินดันทาวน์ลีกทู9th1993–941993–941993–94110n/a
เวสต์บรอมมิชอัลเบียนbแชมเปียนชิป20th ใน พรีเมียร์ลีก1888–892002–032017–18791211919–20
วีแกนแอทเลติกแชมเปียนชิป1st ใน ลีกวัน2005–062005–062012–13880n/a
วิมเบิลดันaยุบยุบ (2003–04)1892–931992–931999–20001480n/a
a: สโมสรก่อตั้งพรีเมียร์ลีก
b: หนึ่งใน 12 ทีมดั้งเดิมในฟุตบอลลีก
c: สโมสรจากเวลส์

บิ๊กซิก[แก้]

6ทีมใหญ่ ที่มีศักยภาพมากพอ ที่มีสิทธิ์ลุ้นแชมป์ รายการนี้ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ซิตี ลิเวอร์พูล เชลซี อาร์เซนอล และ ทอตนัมฮอตสเปอร์

ทำเนียบผู้ชนะเลิศ[แก้]

ทีมชนะเลิศแบ่งตามปี[แก้]

ฤดูกาลชนะเลิศ
(number of titles)
คะแนนรองชนะเลิศคะแนนอันดับที่ 3คะแนนผู้ทำประตูสูงสุดประตู
1992–93แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (8)
84
แอสตันวิลลา
74
นอริช ซิตี
72
อังกฤษ เท็ดดี เชอริงแฮม (นอตทิงแฮม ฟอเรสต์ / ทอตนัม ฮอตสเปอร์)22
1993–94แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (9)
92
แบล็กเบิร์นโรเวอส์
84
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
77
อังกฤษ แอนดรูว์ โคล (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด)34
1994–95แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (3)
89
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
88
นอตทิงแฮมฟอเรสต์
77
อังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ (แบล็กเบิร์น โรเวอส์)34
1995–96แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (10)
82
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
78
ลิเวอร์พูล
71
อังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ (แบล็กเบิร์น โรเวอส์)31
1996–97แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (11)
75
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
68
อาร์เซนอล
68
อังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด)25
1997–98อาร์เซนอล (11)
78
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
77
ลิเวอร์พูล
65
อังกฤษ คริส ซัตตัน (แบล็กเบิร์น โรเวอส์)
อังกฤษ ดิออน ดับลิน (คอเวนทรี ซิตี)
อังกฤษ ไมเคิล โอเวน (ลิเวอร์พูล)
18
1998–99แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[7] (12)
79
อาร์เซนอล
78
เชลซี
75
เนเธอร์แลนด์ จิมมี โฟลยด์ ฮัสเซิลบังก์ (ลีดส์ ยูไนเต็ด)
อังกฤษ ไมเคิล โอเวน (ลิเวอร์พูล)
ตรินิแดดและโตเบโก ดไวต์ ยอร์ก (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด)
18
1999–2000แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13)
91
อาร์เซนอล
73
ลีดส์ ยูไนเต็ด
69
อังกฤษ เควิน ฟิลลิปส์ (ซันเดอร์แลนด์)30
2000–01แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (14)
80
อาร์เซนอล
70
ลิเวอร์พูล
69
เนเธอร์แลนด์ จิมมี โฟลยด์ ฮัสเซิลบังก์ (เชลซี)23
2001–02อาร์เซนอล (12)
87
ลิเวอร์พูล
80
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
77
ฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี (อาร์เซนอล)24
2002–03แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (15)
83
อาร์เซนอล
78
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
69
เนเธอร์แลนด์ รืด ฟัน นิสเติลโรย (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด)25
2003–04อาร์เซนอล[1] (13)
90
เชลซี
79
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
75
ฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี (อาร์เซนอล)30
2004–05เชลซี[4] (2)
95
อาร์เซนอล
83
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
77
ฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี (อาร์เซนอล)25
2005–06เชลซี (3)
91
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
83
ลิเวอร์พูล
82
ฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี (อาร์เซนอล)27
2006–07แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (16)
89
เชลซี
83
ลิเวอร์พูล
68
โกตดิวัวร์ ดีดีเย ดรอกบา (เชลซี)20
2007–08แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (17)
87
เชลซี
85
อาร์เซนอล
83
โปรตุเกส คริสเตียโน โรนัลโด (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด)31
2008–09แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[4] (18)
90
ลิเวอร์พูล
86
เชลซี
83
ฝรั่งเศส นีกอลา อาแนลกา (เชลซี)19
2009–10เชลซี (4)
86
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
85
อาร์เซนอล
75
โกตดิวัวร์ ดีดีเย ดรอกบา (เชลซี)29
2010–11แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (19)
80
เชลซี
71
แมนเชสเตอร์ซิตี
71
บัลแกเรีย ดีมีตาร์ เบร์บาตอฟ (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด)
อาร์เจนตินา การ์โลส เตเบซ (แมนเชสเตอร์ซิตี)
20
2011–12แมนเชสเตอร์ซิตี (3)
89
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
89
อาร์เซนอล
70
เนเธอร์แลนด์ โรบิน ฟัน แปร์ซี (อาร์เซนอล)30
2012–13แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (20)
89
แมนเชสเตอร์ซิตี
78
เชลซี
75
เนเธอร์แลนด์ โรบิน ฟัน แปร์ซี (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด)26
2013–14แมนเชสเตอร์ซิตี[4] (4)
86
ลิเวอร์พูล
84
เชลซี
82
อุรุกวัย ลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล)31
2014–15เชลซี[4] (5)
87
แมนเชสเตอร์ซิตี
79
อาร์เซนอล
75
อาร์เจนตินา เซร์ฆิโอ อาเกวโร (แมนเชสเตอร์ซิตี)26
2015–16เลสเตอร์ซิตี (1)
81
อาร์เซนอล
71
ทอตนัม ฮอตสเปอร์
70
อังกฤษ แฮร์รี เคน (ทอตนัม ฮอตสเปอร์)25
2016–17เชลซี (6)
93
ทอตนัม ฮอตสเปอร์
86
แมนเชสเตอร์ซิตี
78
อังกฤษ แฮร์รี เคน (ทอตนัม ฮอตสเปอร์)29
2017–18แมนเชสเตอร์ซิตี (5)
100
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
81
ทอตนัมฮอตสเปอร์
77
อียิปต์ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)32
2018–19แมนเชสเตอร์ซิตี (6)
98
ลิเวอร์พูล
97
เชลซี
72
กาบอง ปีแยร์-แอเมอริก โอบาเมอย็องก์ (อาร์เซนอล)
เซเนกัล ซาดีโย มาเน (ลิเวอร์พูล)
อียิปต์ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)
22

ทีมชนะเลิศแบ่งตามสโมสร[แก้]

สโมสรสมัยปีที่ชนะเลิศ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด131992–931993–941995–961996–971998–991999–20002000–012002–032006–072007–20082008–092010–112012–13
เชลซี52004–052005–062009–102014–152016–17
แมนเชสเตอร์ซิตี42011–122013–142017–182018–19
อาร์เซนอล31997–982001–022003–04
แบล็กเบิร์นโรเวอส์11994–95
เลสเตอร์ซิตี2015–16

ทีมชนะเลิศแบ่งตามภูมิภาค[แก้]

ภูมิภาคสมัยทีมชนะเลิศ
นอร์ทเวสต์
18
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13), แมนเชสเตอร์ซิตี (4), แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1)
ลอนดอน
8
เชลซี (5), อาร์เซนอล (3)
อีสต์มิดแลนส์
1
เลสเตอร์ซิตี (1)

ทีมชนะเลิศแบ่งตามเมือง[แก้]

เมืองสมัยทีมชนะเลิศ
แมนเชสเตอร์
17
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (13), แมนเชสเตอร์ซิตี (4)
ลอนดอน
8
เชลซี (5), อาร์เซนอล (3)
แบล็กเบิร์น
1
แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1)
เลสเตอร์
1
เลสเตอร์ซิตี (1)

นักเตะที่ลงเล่นสูงสุด[แก้]

ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2019
อันดับชื่อลงเล่น
1อังกฤษ แกเร็ท แบร์รี653
2เวลส์ ไรอัน กิกส์632
3อังกฤษ แฟรงก์ แลมพาร์ด609
4อังกฤษ เดวิด เจมส์572
5เวลส์ แกรี สปีด535
6อังกฤษ เจมส์ มิลเนอร์516
7อังกฤษ เอมีล เฮสกีย์516
8ออสเตรเลีย มาร์ก ชวาร์เซอร์514
9อังกฤษ เจมี คาร์เรเกอร์508
10อังกฤษ ฟิล เนวิล505
ตัวเอียง หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่
ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในพรีเมียร์ลีก

ทำประตูสูงสุด[แก้]

ณ วันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2019

อันดับชื่อปีประตูลงเล่นอัตราส่วน
1อังกฤษ อลัน เชียเรอร์1992–20062604410.59
2อังกฤษ เวย์น รูนีย์2002–20182084910.42
3อังกฤษ แอนดรูว์ โคล1992–20081874140.45
4อังกฤษ แฟรงก์ แลมพาร์ด1995–20151776090.29
5ฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี1999–2007, 20121752580.68
6อาร์เจนตินา เซร์ฆิโอ อาเกวโร2011–1642390.69
7อังกฤษ ร็อบบี ฟาวเลอร์1993–20091633790.43
8อังกฤษ เจอร์เมน เดโฟ2001–2003, 2004–2014, 2015–191624960.33
9อังกฤษ ไมเคิล โอเวน1996–2004, 2005–131503260.46
10อังกฤษ เลส เฟอร์ดินานด์1992–20051493510.42

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบบขนาดสนามฟุตบอลหญ้าเทียม (ขนาดมาตรฐาน 5 - 11คน)

ประวัติ โคปาอเมริกา

คริสเตียโน โรนัลโด