ประวัติ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (อังกฤษBuriram United F.C.) เป็นสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย ก่อตั้งสโมสรในปี พ.ศ. 2513 โดยปัจจุบันลงเล่นในไทยลีก.

สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เดิมชื่อ สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ พีอีเอ เป็นสโมสรที่เปลี่ยนแปลงมาจากสโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2513 โดยดร.วีระ ปิตรชาติ มีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ออกกำลังกายและสร้างความสามัคคีร่วมกันในหมู่คณะ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 สโมสรเข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ง. โดยลงเล่น 3 ฤดูกาลก็ได้เลื่อนขึ้นไปเล่นในถ้วย ค. และลงเล่นอยู่ 2 ฤดูกาลก็ได้เลื่อนขึ้นไปเล่นถ้วย ข. และอีก 2 ฤดูกาลสโมสรก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในดิวิชั่น 1ได้สำเร็จ เสร็จท่าน้ำ
หลังจากลงเล่นในดิวิชั่น 1อยู่นานสโมสรก็ได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อได้รองแชมป์ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2547 และได้เล่นในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2548 โดยฤดูกาลแรกในลีกสูงสุดสโมสรสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อได้ตำแหน่งรองแชมป์ และศุภกิจ จินะใจ กองหน้าของทีมก็คว้าตำแหน่งดาวซัลโวร่วมกับศรายุทธ ชัยคำดี กองหน้าของทีมการท่าเรือไทย ที่จำนวน 10 ประตู และยังได้เล่นเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2549 ร่วมกับสโมสรฟุตบอลยาสูบ อีกด้วย แต่ทั้ง 2 สโมสรกลับส่งรายชื่อผู้เล่นให้เอเอฟซีไม่ทันตามที่กำหนด จึงทำให้ทั้ง 2 สโมสรถูกตัดสิทธิและพลาดโอกาสลงเล่นในรายการระดับทวีปในท้ายที่สุด
ฤดูกาล 2551 สโมสรสามารถคว้าแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ได้เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของประพล พงษ์พาณิชย์และได้สิทธิเข้าร่วมแข่งขันเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก ในฤดูกาล 2552
ฤดูกาล 2552 สโมสรตกรอบคัดเลือกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ทำให้ไม่สามารถเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้ และมีผลงานในลีกไม่ดีนัก สโมสรจึงได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมในเดือนพฤษภาคม ปี 2552 จากประพล พงษ์พาณิชย์ เป็นทองสุข สัมปหังสิต อดีตผู้จัดการทีมชาติไทย ชุดแชมป์ซีเกมส์ ที่นครราชสีมา

การซื้อกิจการสโมสร[แก้]

การซื้อกิจการสโมสรเกิดขึ้นในช่วงฤดูกาล 2552 จากความต้องการของนายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองของจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ต้องการซื้อหุ้นทีมฟุตบอลในไทยพรีเมียร์ลีก ให้ย้ายไปเล่นในนามจังหวัดบุรีรัมย์เป็นการชั่วคราว ในขณะเดียวกันก็สร้างทีมใหม่อีกหนึ่งทีม ไต่อันดับขึ้นมาจากดิวิชันต่ำสุด[1] ในเบื้องต้นได้เจรจากับสโมสรฟุตบอลตำรวจ แต่ได้รับการปฏิเสธ [2] นายเนวินได้มีการเจรจาในเบื้องต้นกับสโมสรฟุตบอลทีโอทีและสโมสรฟุตบอลทหารบก[3] แต่ตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดจึงได้มีการซื้อขายหุ้นของสโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซึ่งมีผลงานสิ้นสุดฤดูกาลในอันดับที่ 9 ทางสโมสรได้ตกลงที่จะย้ายสนามแข่งจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์[2] หลังจากนั้นทางสโมสรได้เปลี่ยนแปลงชื่อทีมเป็นบุรีรัมย์-พีอีเอ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารทั้งหมดและทีมผู้ฝึกสอนบางส่วน

ฤดูกาล 2553 - 2554[แก้]

บุรีรัมย์ยูไนเต็ดเป็นแชมป์เอฟเอคัพในปี พ.ศ. 2554
การเข้ามาของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่ ส่งผลให้มีการปรับปรุงและพัฒนาทีมอย่างมาก มีการนำระบบบริหารจัดการสโมสรฟุตบอลอาชีพเข้ามาใช้กับบริษัท เช่น การทำสัญญาจ้างนักฟุตบอล การเจรจา และทำสัญญาซื้อขายนักฟุตบอลด้วยสัญญามาตรฐาน การสร้างสนามฟุตบอลแห่งใหม่ตามมาตรฐานของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด เพื่อใช้เป็นสนามเหย้า การจัดทำระบบบัญชี การเงิน กฎหมาย การตลาด การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ เต็มรูปแบบ เพื่อสร้างความนิยมให้แก่ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ และ ความน่าเชื่อถือแก่บริษัท
ผลจากการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการธุรกิจ และพัฒนาทีมอย่างจริงจัง ภายใต้นโยบายของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรคนใหม่ ส่งผลให้บุรีรัมย์ พีอีเอ เป็นทีมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทยพรีเมียร์ลีกอย่างรวดเร็ว มีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก หรือแฟนคลับ มากถึง 65,000 คน [4] มีผู้เข้าชมเกมการแข่งขัน นัดละไม่น้อยกว่า 10,000 คน เมื่อเป็นเจ้าบ้าน และเมื่อเป็นทีมเยือน จะมีแฟนบอลติดตามไปชมไม่น้อยกว่า 1,500 คน อีกทั้งยังเป็นทีมที่สร้างสถิติผู้เข้าชมสูงสุดของไทยพรีเมียร์ลีก คือ 25,000 คน และ สร้างสถิติจำหน่ายของที่ระลึกได้สูงสุด 1,400,000 บาท ภายในวันเดียว คือนัดที่เตะกับเมืองทองยูไนเต็ด เมื่อวันที่ กันยายน 2553 [4]
แฟรงค์ โอฮานด์ซา ดาวซัลโวไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2554 มีส่วนช่วยให้บุรีรัมย์คว้าแชมป์ลีกสมัยแรกได้สำเร็จ
ในฤดูกาล 2554 ทีมบุรีรัมย์-พีอีเอได้เป็นแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกหลังจากเอาชนะ ทีมสโมสรฟุตบอลทหารบก ที่สนามกีฬากองทัพบก เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2554 ได้คะแนน 75 คะแนน ทิ้งห่างอันดับสอง ทั้งที่ยังมีการแข่งขันเหลืออีก 4 นัด [5] โดยมีพิธีมอบถ้วยรางวัลหลังการแข่งขันนัดสุดท้ายของฤดูกาล [6]
และยังได้ทริปเปิลแชมป์ หรือ 3 แชมป์ ในฤดูกาลเดียวกัน เมื่อเอาชนะทีมการท่าเรือไทย เอฟซี ไปได้ 2-0 ที่สนามศุภชลาศัย ได้แชมป์โตโยต้า ลีกคัพ หลังจากการได้แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก และไทยคม เอฟเอคัพ ไปแล้ว[7] โดยถือว่าเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยที่ทำได้[8]
และยังได้แชมป์ที่ 4 ด้วยการเอาชนะ ทีมเวกัลตะ เซนได จากเจลีก ด้วยลูกจุดโทษ ในรายการโตโยต้า พรีเมียร์คัพ ไปได้ 5-3 หลังในเวลาเสมอกัน 1-1[9]

ฤดูกาล 2555–2557[แก้]

ที่พักของนักฟุตบอลสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2554 ฝ่ายเจ้าของสิทธิ์ของสโมสรเดิม คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซึ่งเดิมอยู่ในการกำกับดูแลของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล จาก พรรคภูมิใจไทย ได้เปลี่ยนมาอยู่ในการกำกับดูแลของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์จาก พรรคเพื่อไทย ได้มีนโยบายที่จะย้ายสโมสรออกจากจังหวัดบุรีรัมย์ ผลการเจรจาได้ข้อสรุปว่าฝ่ายนายเนวินจะขายหุ้น 70% [1] ที่ตนถืออยู่ออกไป จะแยกทีมการไฟฟ้าออกจากจังหวัดบุรีรัมย์และย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น ส่วนนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทีมบุรีรัมย์-พีอีเอเดิม จะไปรวมกับสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ เอฟซี ที่ได้แชมป์ ดิวิชั่น 1 และเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2555 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อทีมเป็น "สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" [10]
นายเนวินกล่าวว่า ในฤดูกาล 2555 สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (บุรีรัมย์ เอฟซีเดิม) จะลงเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก และเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ด้วยโควตาชนะเลิศฤดูกาล 2554 ของบุรีรัมย์-พีอีเอ [11]
เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555 นายเนวินได้เปิดแถลงข่าวว่า ได้ซื้อหุ้นอีก 30% ของสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาบริหารจัดการเองทั้งหมด รวมทั้งสิทธิทั้งหมดในนามการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จากนั้นจะเปลี่ยนชื่อทีมเป็น "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" ตามแผนเดิม ส่วนสิทธิการเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกของบุรีรัมย์ เอฟซีนั้น จะโอนให้กับ สงขลา เอฟซี ของนายนิพนธ์ บุญญามณี ส่วนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้น จะไม่มีการส่งทีมเข้าแข่งขันรายการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยอีกต่อไป [12]
ในฤดูกาล 2555 บุรีรัมย์จบอันดับ 4 ใน ไทยพรีเมียร์ลีก 2555 และคว้าแชมป์ ไทยคม เอฟเอคัพ 2555 ด้วยการชนะอาร์มี่ ยูไนเต็ด ไป 2–1 ซึ่งได้สิทธิไปเล่น เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2013 รอบคัดเลือก[13] และคว้าแชมป์ โตโยต้า ลีกคัพ 2555 ด้วยการชนะ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ไป 4–1[14] ซึ่งเป็นดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยและบุรีรัมย์ยูไนเต็ดสามารถป้องกันแชมป์ทั้งสองรายการได้อีกหนึ่งสมัยอีกด้วย
ฆาบิเอร์ ปาติญโญ เป็นผู้ทำประตูสูงสุดอันดับที่ 2 ของสโมสรในฤดูกาล 2556 โดยเป็นรองเพียงการ์เมโล กอนซาเลซ
ในฤดูกาล 2556 บุรีรัมย์จบอันดับ 1ใน ไทยพรีเมียร์ลีก 2556 และคว้าแชมป์ ไทยคม เอฟเอคัพ 2556ด้วยการชนะ สโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส ไป 3–1 ซึ่งได้สิทธิไปเล่น เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2014 รอบแบ่งกลุ่ม[15] และคว้าแชมป์ โตโยต้า ลีกคัพ 2556สมัยที่3 ด้วยการชนะ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ไป 2–1[16] ซึ่งเป็นดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยและบุรีรัมย์ยูไนเต็ดสามารถป้องกันแชมป์ทั้งสองรายการได้อีกหนึ่งสมัยอีกด้วย เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2013 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีม
ในฤดูกาล 2557 บุรีรัมย์คว้าแชมป์ ถ้วยพระราชทาน ก. และ แชมป์ โตโยต้า พรีเมียร์ คัพ 2557 จบอันดับ 1ใน ไทยพรีเมียร์ลีก 2557

ฤดูกาล 2558: ปีแห่งความสำเร็จ[แก้]

สนามศุภชลาศัยเป็นสนามแข่งขันที่บุรีรัมย์คว้าแชมป์ถึง 4 รายการ (ถ้วย ก., ลีกคัพ, แม่โขง และเอฟเอคัพ) ในปี 2558
ถือเป็นปีทองของทัพ ปราสาทสายฟ้า เมื่อสามารถคว้าแชมป์มาประดับตู้โชว์ได้ถึง 5 รายการ แม้ว่าจะตกรอบแบ่งกลุ่มของศึกเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกก็ตาม ซึ่งก่อนที่ฤดูกาลนี้จะเริ่มต้น ปราสาทสายฟ้า เสริมทัพนักเตะเข้าสู่ทีมหลายราย ไม่ว่าจะเป็น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดมกรวิทย์ นามวิเศษนฤพล อารมณ์สวะโก ซุล-กิกิลแบร์โต มาเชนาดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ซึ่งถือว่าเป็นขุมกำลังของทีมในฤดูกาล 2558
เปิดฉากความยิ่งใหญ่ด้วยแชมป์แรก ฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ก. ด้วยการเอาชนะ กระต่ายแก้ว บางกอกกล๊าส เอฟซีไป 1-0 จากประตูชัยของ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ในนาทีที่ 56[18]
เดินหน้าต่อกับแชมป์ที่ 2 โตโยต้า ลีกคัพ สมัย 4 สามารถเอาชนะ กูปรีอันตราย ศรีสะเกษ เอฟซี ที่เพิ่งเข้าชิงรายการนี้เป็นครั้งแรก ไป 1-0 จากประตูชัยของ โก ซุล-กิ ในนาทีที่ 18[19]
สานต่อความสำเร็จในปีนี้ ด้วยแชมป์ที่ 3 ไทยพรีเมียร์ลีก และเป็นแชมป์ไร้พ่ายอีกด้วย โดยไม่แพ้ใครตลอด 34 นัด ชนะ 25 นัด และเสมอไป 9 นัด ทำประตูได้ถึง 98 ลูก มากที่สุดในลีก และเสียไปเพียง 24 ประตู ซึ่งน้อยที่สุดในลีก แถมจบซีซั่นด้วยการมีแต้มมากกว่า กิเลนผยอง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมรองแชมป์ถึง 13 คะแนนเลยทีเดียว ซึ่งการคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกในครั้งนี้ เป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกันของ ปราสาทสายฟ้า นอกจากนี้ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ยังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดในไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปครอง หลังโชว์ฟอร์มสุดโหดเหี้ยม ซัดไป 33 ประตูอีกด้วย ส่วนคู่หู่ในแนวรุกของเขาอย่าง กิลแบร์โต มาเชนา ก็ยิงไป 21 ประตู ได้อันดับ 3 ขณะที่ ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายทีมชาติไทย ก็ทำแอสซิสต์ ไป 19 ครั้ง ซึ่งสูงสุดในลีกปีนี้
ตามมาติด ๆ กับแชมป์ที่ 4 แม่โขงคลับแชมเปียนชิพ ปราสาทสายฟ้า ในฐานะแชมป์ โตโยต้า ลีกคัพ พบกับ สิงห์ร้ายแห่งนครวัด เบิงเกต อังกอร์ ทีมชั้นนำแห่งศึกฟุตบอลลีกกัมพูชา ในศึกฟุตบอลแห่งศักดิ์ศรีเพื่อชิงความเป็นเจ้าสโมสรแห่งภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเอาชนะไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษของ อันเดรส ตุญเญซ ในนาทีที่ 67 ช่วยให้ ปราสาทสายฟ้า คว้าแชมป์รายการนี้ไปครอง[20]
และปิดท้ายปี พ.ศ. 2558 อย่างสมบูรณ์แบบ กับแชมป์ที่ 5 ช้าง เอฟเอคัพ โดยการเอาชนะ กิเลนผยอง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คู่ปรับเก่าสมัยไทยพรีเมียร์ลีกไป 3-1 จากลูกจุดโทษของ อันเดรส ตุญเญซ ในนาทีที่ 45, โก ซุล-กิ ในนาทีที่ 51 และ จักรพันธ์ แก้วพรม ในนาทีที่ 70 คว้าแชมป์รายการนี้ไปครองเป็นสมัยที่ 4[21] และเป็นถ้วยแชมป์ที่ 5 ในปีนี้ รวมทั้งกลายเป็นสโมสรแรกจากทวีปเอเชีย ที่คว้าถ้วยรางวัล 5 ใบได้สำเร็จในฤดูกาลเดียวอีกด้วย[22]

ฤดูกาล 2559: ตกอับ[แก้]

หลังฤดูกาลที่แล้วสามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 5 รายการ ปราสาทสายฟ้า ก็ได้มีการเสริมทัพนักเตะเข้าสู่ทีมเพิ่มอีกหลายรายเพื่อป้องกันทั้ง 5 แชมป์ในฤดูกาล 2559 และคว้าแชมป์ เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น อดุล หละโสะอังเดร ฟรานซิสโก้ โมริตซ์ดานิโล ซิลิโน่ เดอ โอลิเวียร่าสถาพร แดงสีอนันต์ บัวแสงเอมิเลียโน่ อัลฟาโร่[23] และได้จัดการแข่งขันรายการ ช้าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เอเชียนทัวร์ 2016 ขึ้นในวันที่ 22 - 31 มกราคม โดยรายได้มอบให้กับการกุศล โดยนัดแรกไปเยือน กัมพูชา ออลสตาร์ ในวันที่ 22 มกราคม จบ 90 นาทีเสมอกันที่ 2-2 โดยฝั่ง ปราสาทสายฟ้า ได้ประตูจาก สุเชาว์ นุชนุ่ม กัปตันทีมในนาทีที่ 45 และ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต ซึ่งลงมาเป็นตัวสำรองในภายหลังในนาทีที่ 83 ส่งผลให้ต้องดวลจุดโทษกันและเป็น กัมพูชา ออลสตาร์ ที่ชนะไป 4-3 รวมผลสกอร์ 6-5[24] แต่หลังจากนันก็มาพลิกล็อกใน 2 นัดสุดท้าย ซึ่งชนะทั้งหมด โดยเปิดบ้านชนะ โปฮัง สตีลเลอส์ ยอดทีมจาก เคลีก ในประเทศเกาหลีใต้ ไป 2-1 จาก อังเดร ฟรานซิสโก้ โมริทซ์ ในนาทีที่ 9 และ ดานิโล ซิลิโน่ เดอ โอลิเวียร่า ในนาทีที่ 33[25] และบุกไปชนะ ออลสตาร์ ลาว ไป 3-1 จาก อังเดร ฟรานซิสโก้ โมริทซ์ ในนาทีที่ 2 และ 30 และจุดโทษโดย อันเดรส ตุญเญซ ในนาทีที่ 24[26] หลังจากนั้น ดานิโล ซิลิโน่ เดอ โอลิเวียร่า ย้ายทีมแต่ก็ได้กองหน้าคนใหม่ คือ ไคโอะ ฟิลิปเป้ กอนซาเวซ รวมทั้ง คิม ซึง ยอง และ เวสลีย์ เฟย์โตซ่า
หลังจากเตรียมทีมมา 1 เดือน ปราสาทสายฟ้า ก็สามารถคว้าแชมป์ โตโยต้า พรีเมียร์คัพ 2015 เป็นแชมป์แรกได้สำเร็จ โดยเอาชนะ อัลบิเร็กซ์ นีงะตะ จากเจลีกไปได้ 2-1 จากลูกเตะมุมของ ธีราทร บุญมาทันเปิดให้กับ โก ซุล-กิ โหม่งในนาทีที่ 50 และ 79[27] ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ปราสาทสายฟ้า ก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ก. ได้อีกสมัย โดยสามารถเอาชนะคู่ปรับที่ยังไม่เคยชนะ ปราสาทสายฟ้า ได้เลย คือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปได้ถึง 3-1 จาก ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ในนาทีที่ 14, จุดโทษของอันเดรส ตุญเญซ ในนาทีที่ 66 และ จักรพันธ์ แก้วพรม ในนาทีที่ 83[28]
กลางฤดูกาล 2559 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปล่อยตัวธีราทร บุญมาทัน ให้แก่เอสซีจี เมืองทองฯ สโมสรคู่ปรับตลอดกาล
ในเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม ปราสาทสายฟ้า ซึ่งถูกจับอยู่ในกลุ่มเอฟร่วมกับ เอฟซี โซลซานตงลู่เนิ่งไท่ชาน และซานเฟรซ ฮิโรชิมะ ปรากฏว่าทำผลงานได้ย่ำแย่มาก ไม่ชนะใครเลย เสมอ 1 และแพ้ 5 ตกรอบแบ่งกลุ่ม โดยเป็นทีมอันดับสุดท้ายของกลุ่ม และเป็นทีมที่สถิติที่แย่ที่สุดของเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกในปีนี้อีกด้วย[29] และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 แฟนเพจอย่างเป็นทางการของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด [30] เปิดเผยแถลงข่าวการขาย ธีราทร บุญมาทัน ให้กับทีมร่วมลีกอย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข้อเสนอซื้อจากหลายทีม [31]
หลังจบฤดูกาล 2559 ที่ไม่ค่อยสวยงาม ในไทยลีก ปราสาทสายฟ้า แข่งทั้งหมด 30 นัด มี 55 คะแนน ชนะ 15 เสมอ 10 แพ้ 5 อยู่อันดับที่ 4 ไม่สามารถไปเล่นเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2553[32] ส่วนในการแข่งขันฟุตบอล ในโตโยต้า ลีกคัพ ปราสาทสายฟ้า คว้าแชมป์ร่วมกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด โดย ปราสาทสายฟ้า เลือกลงแข่งขันแม่โขงคลับแชมเปียนชิพ ส่วนในช้าง เอฟเอคัพ ปราสาทสายฟ้า ยุติเส้นทางไว้ที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังบุกไปแพ้คู่ปรับตลอดกาลอย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 3-1[33] และเมื่อเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แพ้ชลบุรี เอฟซี 3-0 จึงทำให้ไม่สามารถไปเล่นเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2553[34]

ฤดูกาล 2560: ปีแห่งการทวงคืน[แก้]

ในเดือนมกราคม 2560 เนวิน ชิดชอบได้ทำการเปิดตัวสโมสรด้วยสโลแกน "สไตรค์แบ็ค" หรือทวงคืนทุกแชมป์[35] ทางสโมสรได้ปล่อยตัวผู้เล่นออกไปหลายราย ไม่ว่าจะเป็น อนาวิน จูจีน (ย้ายไปสุพรรณบุรี[36]), เชาว์วัฒน์ วีระชาติ (ย้ายไปบางกอกกล๊าส[37]), สุรีย์-สุรัตน์ สุขะ (ย้ายไปอุบล ยูเอ็มที[38]), อันเดรส ตุญเญซ (ปล่อยยืมตัวให้กับสโมสรในสเปน), ไคโอะ ฟีลีปี และบรูนู โมเรย์รา ซึ่งเป็นกำลังหลักที่สำคัญเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และทางสโมสรได้ทำการยืมตัวฌาฌาจากสโมสรโลเคอเรนในเบลเยียม[39] และซื้อตัวผู้เล่นใหม่อย่างโซลวี ออตเตเซน, พรรษา เหมวิบูลย์ และศุภชัย ใจเด็ด เข้าสู่ทีม
เปิดฤดูกาลด้วยการแข่งขันแม่โขงคลับแชมเปียนชิพซึ่งเลื่อนมาจากปีที่แล้ว บุรีรัมย์ซึ่งเป็นทีมเยือนในเลกแรกบุกไปแพ้ล้านช้าง ยูไนเต็ดที่ประเทศลาว ด้วยผล 1–0[40] แต่ในเลกที่สองที่สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ บุรีรัมย์กลับมาเอาชนะไป 2–0 ผลประตูรวม 2–1 ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ[41]
การแข่งขันรายการหลัก "ไทยลีก" ในนัดแรก บุรีรัมย์เริ่มต้นได้ไม่ดีนักเมื่อต้องเปิดบ้านไล่ตามตีเสมอชลบุรี 2–2 หลังจากที่โดนนำ 0–2 ในครึ่งแรก[42] แต่ในนัดถัด ๆ มา ทีมสามารถเก็บชัยชนะได้ 4 นัดรวด ก่อนที่จะสะดุดในเกมลีกนัดที่ 5 ที่ออกไปเยือนการท่าเรือ ผลจบลงด้วยการเสมอ 0–0 ต่อมาเกมลีกนัดที่ 6 บุรีรัมย์เปิดบ้านเอาชนะคู่ปรับสำคัญอย่างเอสซีจี เมืองทองได้สำเร็จด้วยผล 2–0 โดยได้ประตูจากฌาฌาและสุเชาว์ นุชนุ่ม[43] หลังจากนั้นทีมก็สามารถเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในเกมลีกนัดที่ 12 และ 13 ซึ่งบุรีรัมย์ออกไปแพ้บางกอกกล๊าส 2–1 (แพ้ในลีกเป็นเกมแรก)[44] และเปิดบ้านแพ้ราชบุรี มิตรผล 3–4[45] ทำให้โอกาสลุ้นแชมป์ยิ่งยากขึ้น เมื่อมีคะแนนตามหลังจ่าฝูงอย่างเมืองทองถึง 7 คะแนน
ทว่าอีกสามนัดถัดมา จ่าฝูงอย่างเอสซีจี เมืองทอง ทำคะแนนหายจากการพ่ายแพ้ต่อสามทีมน้องใหม่อย่างไทยฮอนด้าสโมสรฟุตบอลการท่าเรือ และอุบล ยูเอ็มที[46] ส่งผลให้บุรีรัมย์ที่เก็บแต้มอย่างต่อเนื่อง ทำคะแนนเทียบเท่าเมืองทองหลังจบเลกแรก เป็นรองเพียงแค่ผลต่างประตูได้เสีย
กลางเดือนมิถุนายน 2560 รันกอ ปอปอวิช ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอน[47] โดยมีโบซีดาร์ บันโดวิช เข้ารับตำแหน่งแทน[48] ต่อมาในเกมลีกนัดที่ 18 ของฤดูกาล หรือนัดแรกของเลกที่สอง บุรีรัมย์ซึ่งเปิดบ้านเอาชนะราชนาวี 2–0[49] สามารถแซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จ เนื่องจากเมืองทองสะดุดในนัดที่ออกไปเสมอสุโขทัย 2–2 ทั้งที่นำก่อน 2–0[50] และในอีก 16 นัดถัดมา บุรีรัมย์สามารถเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง และคว้าแชมป์ไทยลีกอย่างเป็นทางการในเกมนัดที่ 32 ซึ่งบุรีรัมย์เปิดบ้านเอาชนะโปลิศ เทโรไปได้ 4–0[51] และยังสามารถทำสถิติเก็บแต้มในลีกสูงสุดที่ 86 คะแนน หลังจากบุกไปชนะชลบุรี 2–1 ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล[52]
ส่วนในการแข่งขันฟุตบอลถ้วย ในโตโยต้า ลีกคัพ บุรีรัมย์จบเส้นทางที่รอบแปดทีมสุดท้ายหลังเปิดบ้านพ่ายต่อแชมป์เก่าร่วมอย่างเมืองทอง 0–2[53] และในช้าง เอฟเอคัพ บุรีรัมย์ตกรอบแปดทีมสุดท้ายเช่นกันหลังออกไปแพ้เชียงราย ยูไนเต็ด 1–0[54] โดยทั้งเมืองทองและเชียงรายที่ทำให้บุรีรัมย์ตกรอบ สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้ในบั้นปลาย

ฤดูกาล 2561–ปัจจุบัน[แก้]

หลังจบฤดูกาล 2560 สโมสรบุรีรัมย์ได้ปล่อยตัวฌาฌาเนื่องจากหมดสัญญายืมตัว[55] และได้ซื้อตัวกองหน้ารายใหม่ทดแทนอย่างเอ็ดการ์[56] และฮอง วู แซมซัน[57] นอกจากนี้ยังยืมตัวประวีณวัช บุญยงค์ จากบางกอกกล๊าส และซื้อขาดศศลักษณ์ ไหประโคน จากทรูแบงค็อก[58] หลังจากที่เคยลงเล่นแบบยืมตัวเมื่อเลกสองของฤดูกาลที่แล้ว
เปิดฤดูกาล 2561 ด้วยการแข่งขันไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพ เป็นการพบกันระหว่างแชมป์ไทยลีก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และแชมป์เอฟเอคัพ สิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด ผลการแข่งขันในเวลาจบลงด้วยผลเสมอ 2–2 ก่อนที่บุรีรัมย์จะพ่ายจุดโทษ 7–8[59]
บุรีรัมย์ได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มของเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก จากการคว้าแชมป์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยบุรีรัมย์อยู่ในกลุ่มจี ร่วมกับกว่างโจวเอเวอร์แกรนด์เซเรซโซ โอซากะ และเชจูยูไนเต็ด ซึ่งเป็นสโมสรที่มีส่วนชี้ขาดให้บุรีรัมย์ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ จากการทำประตูชัยของกรกช วิริยอุดมศิริ[60] ทำให้บุรีรัมย์เป็นสโมสรแรกจากไทยที่สามารถบุกไปเอาชนะสโมสรเกาหลีใต้ได้อีกด้วย[61] ต่อมารอบ 16 ทีมสุดท้าย บุรีรัมย์ซึ่งเป็นเจ้าบ้านในเลกแรกเอาชนะช็อนบุกฮุนไดมอเตอส์จากเกาหลีใต้ไปได้ 3–2[62] ก่อนที่จะบุกไปแพ้ในเลกที่สอง 0–2[63] ผลประตูรวมบุรีรัมย์แพ้ 3–4 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ในไทยลีก บุรีรัมย์ลงแข่งขันเกมลีกนัดแรกของฤดูกาล ด้วยการเปิดบ้านเอาชนะราชบุรี มิตรผลไปได้ 2–1[64] และแพ้นัดแรกของฤดูกาลในเกมนัดที่ 11 ซึ่งเป็นนัดที่บุรีรัมย์บุกไปพ่ายต่อสิงห์เชียงราย 1–0 ยุติสถิติไร้พ่ายในลีก 31 นัดติดต่อกัน[65] ต่อมาเกมลีกนัดที่ 19 บุรีรัมย์แพ้ในบ้านนัดแรกต่อชัยนาท ฮอร์นบิล 0–1 และเสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับทรูแบงค็อก[66] อย่างไรก็ดี บุรีรัมย์สามารถทวงคืนตำแหน่งจ่าฝูงได้ในนัดถัดมาที่บุกไปเอาชนะพีที ประจวบ 2–1[67] ส่วนทรูแบงค็อกทำได้เพียงเสมอกับราชบุรีในวันก่อนหน้า[68] บุรีรัมย์คว้าแชมป์ไทยลีกอย่างเป็นทางการในเกมนัดที่ 31 ที่เปิดบ้านเอาชนะโปลิศ เทโรไปได้ 2–0[69] และในนัดสุดท้ายที่บุกไปชนะราชบุรี มิตรผล 1–0 นั้น บุรีรัมย์เก็บแต้มสูงสุดที่ 87 คะแนน ทำลายสถิติเดิมของตนเอง (86 คะแนน) เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
สำหรับการแข่งขันฟุตบอลถ้วย ในโตโยต้า ลีกคัพ บุรีรัมย์ยุติเส้นทางที่รอบรองชนะเลิศหลังจากที่พ่ายต่อบางกอกกล๊าส 1–2 ที่สนามบุณยะจินดา[70] ส่วนในช้าง เอฟเอคัพ บุรีรัมย์ได้เข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อสิงห์เชียงราย 2–3
ในฤดูกาล 2562 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดประเดิมแชมป์ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพสมัยแรก ด้วยการล้างตาเอาชนะสิงห์เชียงราย 3–1

แทงบอลออนไลน์

สนาม[แก้]

เขากระโดง สเตเดี้ยม (2553–2554)[แก้]

เขากระโดง สเตเดี้ยม
เขากระโดง สเตเดี้ยม
เขากระโดง สเตเดี้ยม.jpg
ที่ตั้งอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ประเทศไทย
เจ้าขององค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์
ผู้ดำเนินการองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์
ความจุ15,000 ที่นั่ง
การก่อสร้าง
เปิดใช้สนาม27 มีนาคม พ.ศ. 2553
ผู้ใช้งาน
องค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์
เขากระโดง สเตเดี้ยม เป็นสนามเหย้าเดิมของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีความจุทั้งหมด 15,000 ที่นั่ง สนามนี้เคยเป็นสนามขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเพื่อใช้รองรับการใช้งานไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2553 ของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์-การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยย้ายไปสนามแห่งใหม่ของตัวเองซึ่งมีความจุ 32,600 คน คือ สนาม นิว ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม ปัจจุบันก็ได้โอนสนามนี้ให้เป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์เหมือนเดิมและบริเวณที่ว่างข้างสนามได้สร้างศูนย์ราชการศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์แห่งใหม่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แบบขนาดสนามฟุตบอลหญ้าเทียม (ขนาดมาตรฐาน 5 - 11คน)

คริสเตียโน โรนัลโด

ตำนาน เปเล่